บทความ: เกษียณ
เกษียณในฝันของสาววัย 50: อยากมีเงินใช้หลังเกษียณปีละ 200,000 บาท ต้องวางแผนยังไง?
ดิฉันเป็นสาวโสดไม่ได้แต่งงาน อายุใกล้จะ 50 ปีแล้วค่ะ ทำงานบริษัทมีชื่อเสียงเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ที่บริษัทให้เกษียณตอนอายุ 60 ปี เลยเริ่มคิดว่าอยากเตรียมตัวให้ตัวเองมีเงินใช้จากเงินปันผลปีละ 2 แสน จะต้องลงทุนยังไงดีคะ
มีกฎอยู่กฎหนึ่งที่เรียกกันว่า “กฎของ Murphy” (Murphy’s Law) เป็นประโยคสั้นๆง่ายๆ ว่า "If anything can go wrong, it will." ซึ่งแปลความหมายเป็นไทยก็คือ “ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้าหากเราปล่อยให้มีโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดขึ้นได้ รับรองได้ว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นแน่นอน” หรือ พูดง่ายๆ ก็คือ “ในภาวะที่เลวร้าย สิ่งที่เลวร้ายกว่ามีโอกาสเกิดขึ้นเสมอ” อย่างเช่น รถเราเวลามีประกัน มักจะไม่มีอุบัติเหตุ แต่พอประกันขาด มักจะเกิดอุบัติเหตุตอนนั้น
มนุษย์เงินเดือน เป็นอาชีพหนึ่งที่โดนกฎของ Murphy เล่นงานมากที่สุด ตอนเราทำงาน บริษัทมักจะให้สวัสดิการรักษาพยาบาลทั้งคนไข้นอก และคนไข้ใน แต่ส่วนใหญ่แล้วเราไม่ค่อยได้ใช้สวัสดิการนี้กัน เพราะสุขภาพร่างกายแข็งแรง แต่ในวันที่เราเกษียณ รายได้เราไม่มี สวัสดิการรักษาพยาบาลก็ไม่มี แต่เราก็มักจะเจ็บไข้ได้ป่วยตอนนั้นตามความเสื่อมของวัย ทำให้เรายิ่งมีปัญหาการเงินมากเข้าไปอีก
ปัญหาการเงินของวัยเกษียณตามกฎของ Murphy คือ “รายได้หยุดหา แต่ค่าใช้จ่ายกลับเพิ่มขึ้น” ดังนั้นเป้าหมายการเงินสำหรับวัยเกษียณที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือ การสร้างรายได้ประจำ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อเกษียณบางอย่างถึงกำหนดเงื่อนไขการสร้างรายได้ประจำหลังเกษียณ อย่างเช่น
- ประกันบำนาญ ที่กฎหมายบังคับให้ผู้เอาประกันต้องชำระเงินค่าเบี้ยประกันเป็นระยะเวลาตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ทำไว้อย่างต่อเนื่องจนถึงอายุเกษียณ (เช่น 55, 60 หรือ 65 ปี แล้วแต่แบบ) และจะได้รับเงินคืนในรูปแบบของเงินบำนาญ จนถึงอายุ 85 หรือ 90 ปี แล้วแต่แบบ
- กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ที่สมาชิกอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และ เป็นสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไม่ต่ำกว่า 5 ปี บริบูรณ์ สามารถขอรับเงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นงวดได้ คล้ายๆกับเราสร้าง “เงินเดือนจากเงินเก็บ” ของเรานั่นเอง โดยเงินที่รับเป็นงวดยกเว้นภาษี
เงินได้ประจำเท่าไรหลังเกษียณต้องมีอย่างน้อยเท่าไหร่ถึงจะพอ?
เป้าหมายของการวางแผนการเงินเพื่อวัยเกษียณ ก็เพื่อ 3 เป้าหมาย ดังนี้เมื่อ
- Sustainability คือ มีเงินใช้นานพอเท่าที่ต้องการ โดยทั่วไป คือ มีพอใช้จนวันตาย บางคนวางแผนเผื่อมีมรดกให้ลูกด้วย
- Adequacy คือ มีมากพอตามต้องการอย่างน้อยต้องเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และเผื่อค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เช่น ค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น
- Reliability คือ วางใจได้ว่ามีนานและมากพอ แผนการเงินเพื่อวัยเกษียณ คือ วางแผนตอนนี้ (ก่อนเกษียณ) ใช้ตอนหน้า (หลังเกษียณ) เราจึงต้องมั่นใจว่า แผนการเงินนั้นเป็นไปได้ และเพียงพอใช้ในยามเกษียณจริงๆ
วิธีที่คุณคิดว่าต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะพอใช้
คุณลองประเมินคร่าวๆ ว่า
- คุณมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในแต่ละเดือน อย่างเช่น ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ฯลฯ สมมติอยู่ที่เดือนละ 2 หมื่นบาท
- แล้วคุณคิดว่าคุณน่าจะมีอายุหลังจากเกษียณอีกกี่ปี คุณอาจจะประมาณจากญาติผู้ใหญ่ในครอบครัว เช่น คุณพ่อคุณแม่อายุประมาณ 85 ปี ตัวคุณเองอาจจะเผื่อไปอีกซัก 5 ปี เป็น 90 ปี สมมติคาดว่าน่าจะลาโลกนี้ไปตอนอายุ 90 ปี เท่ากับคุณมีเวลาหลังเกษียณอีก 30 ปี (หรือ 360 เดือน)
- ต่อมา เราต้องมาดูค่าใช้จ่ายครัวเรือนย่อมไม่เท่าเดิมตลอดไป เพราะข้าวของแพงขึ้น ส่วนใหญ่เราจะชอบใช้อัตราเงินเฟ้อ แต่โดยส่วนตัวของผู้เขียนชอบอัตราการเปลี่ยนแปลงของค่าใช้จ่ายครัวเรือนมากกว่า เนื่องจากสะท้อนค่าใช้จ่ายที่แท้จริงของผู้บริโภคได้แม่นยำกว่า ตัวเลขที่สำนักงานสถิติแห่งชาติวิเคราะห์มาเฉลี่ยอยู่ที่ ประมาณปีละ 3.1 เปอร์เซ็นต์
- และสุดท้ายผลตอบแทนของเงินออมที่เรามี ณ วันเกษียณ สมมติเราไปลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลปีละ
4 เปอร์เซ็นต์ (จะลงทุนอะไรก็ตาม อย่างน้อยควรมากกว่าอัตราการเปลี่ยนแปลงของค่าใช้จ่ายครัวเรือน)
เมื่อกะประมาณทั้งหมดแล้ว อยากรู้ต้องมีเงินเท่าไหร่ ลองเข้าไปใส่ข้อมูลในหน้า “ออมเท่าไหร่พอใช้เกษียณ” ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ https://www.set.or.th/project/caltools/www/html/retirement.html ดูนะ
สินค้าทางการเงินที่สร้างรายได้ประจำ
ในประเทศเรามีสินค้าอยู่หลายตัว เช่น ประกันบำนาญ การเลือกรับเงินเป็นงวดจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนปันผล ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust: REIT) ที่จ่ายปันผลสูง เป็นต้น
ในกรณีต้องการ มีเงินใช้จากเงินปันผลปีละ 2 แสน ตามสถิติอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล ของดัชนีราคาหุ้นที่จ่ายปันผลสูง 30 ตัว* จะเท่ากับปีละ 4.58 เปอร์เซ็นต์/ปี ถ้าผลตอบแทนเป็นไปตามดัชนีนี้เท่ากับว่าเราต้องมีเงินลงทุน ประมาณ 4 ล้านกว่าบาท หรือถ้าจะใช้ตัวเลขที่คำนวณได้เป๊ะๆ คือ 4,362,398 บาท แต่เราไม่จำเป็นต้องลงทุนในหุ้นปันผลอย่างเดียว เราสามารถเลือกผลิตภัณฑ์การเงินอื่นที่ให้เงินปันผลสูงเช่นกัน นอกจากจะช่วยเงินปันผลแล้ว ยังช่วยกระจายความเสี่ยงอีกด้วยค่ะ
*SET High Dividend 30 Index (SETHD) ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนการเคลื่อนไหวราคาของกลุ่มหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดสูง (Market Capitalization) มีสภาพคล่องสูงอย่างสม่ำเสมอ และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงและต่อเนื่อง (คำนวณนับจากเริ่มดัชนีถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2568)