logo
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับสมาคม
  • ประเภท/สิทธิประโยชน์ของสมาชิก
  • เอกสารดาวน์โหลด
  • แหล่งข้อมูล
  • FAQ
  • ติดต่อเรา
Previous Next
แหล่งข้อมูล
  • ประกาศสมาคม
  • ข่าวสมาคม
  • กิจกรรมสมาคม
  • เอกสารเผยแพร่
  • วิดีโอ
  • หน่วยงานพันธมิตร
บทความ: เกษียณ

เกษียณแล้ว ใช้เงินอย่างไรดี

 

ทุกวันนี้ หากเราต้องการหา “ทำยังไงถึงรวย?” ตามโซเชียลมีเดียจะมีบทความ มีกูรูเปิดคลาสสอน หรือ แม้แต่มิจฉาชีพก็ยังหลอกด้วยเรื่องนี้เต็มไปหมด

แต่สิ่งที่เราต้องการกันจริงๆ คือ “ทำยังไงถึงรวย?” หรือ “ทำยังไงถึงไม่จน?” กันแน่

2 ประโยคนี้มองเผินๆ ก็เหมือนกัน แต่มองลึกๆแล้ว ต่างกันอย่างสิ้นเชิง

  • “ทำยังไงถึงรวย?” เราเน้นเป้าหมายสร้างความมั่งคั่งให้กับสถานภาพทางการเงินของเรามากยิ่งขึ้น เราจะเน้นไปที่การสร้างรายได้ การลงทุน
  • “ทำยังไงถึงไม่จน?” เรามีเป้าหมายสร้างความมั่นคงให้กับสถานภาพทางการเงินของเรามากยิ่งขึ้น พูดง่ายๆ คือ “ทำยังไงให้มีเงินพอใช้?” เราจะเน้นไปที่การบริหารรายจ่าย การบริหารความเสี่ยง

เพื่อนๆว่าอะไรสำคัญกว่ากัน?  

จากประสบการณ์ “ทำยังไงถึงไม่จน?” สำคัญกว่าครับ เพราะเป้าหมายคือ ให้เรามีอิสรภาพทางการเงินในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เช่น ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การเกิดอุบัติเหตุ การเจ็บไข้ได้ป่วย การสูญเสียทรัพย์สินหรือบุคคลในครอบครัว และ การเกษียณอายุ อย่างเช่นกรณีนี้

“ดิฉัน อายุ 57 ปี เพิ่งเกษียณจากงานราชการ ได้เงินชดเชยก้อนสุดท้ายมา 1.2 ล้านบาท มีลูกโดแล้วแต่ยังอยากใช้ชีวิตให้ไม่ลำบาก ไม่เป็นภาระใคร อยากใช้เงินเดือนละประมาณ 20,000 บาท แบบไม่เสี่ยงมาก จะอยู่ได้ถึงอายุเท่าไหร่คะ? แล้วควรลงทุนอะไรเพื่อช่วยให้เงินไม่หมดเร็ว”

ประเด็นของคำถามนี้คือ

  • อยากอยู่แบบไม่เป็นภาระใคร ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายหลักของการเงินหลังเกษียณที่เรียกว่า YOYO มาจาก You are on Your Own คุณต้องอยู่ได้ด้วยตัวคุณคนเดียว
  • มีเงินใช้ 20,000 บาท/เดือน (แต่พอมั๊ย ไม่รู้)
  • และเงิน 20,000 บาท/เดือน มาจากเงินชดเชยก้อนสุดท้าย 1.2 ล้านบาท จะหมดตอนอายุเท่าไร? เข้าใจว่า น่าจะสงสัยว่า เงินจะหมดก่อนตายหรือไม่? ทำให้นึกถึงคำกลอนที่เราต้องตัดสินใจเลือกบริหารเงินหลังเกษียณว่า จะเอาอันไหน ระหว่าง
    “แสนเสียดายที่ตายใช้เงินไม่หมด” กับ “แสนสลดใช้เงินหมดก่อนตาย”
  • จะควรลงทุนอะไรเพื่อให้มีเงินพอใช้?

ประเด็นที่น่าสนใจ และหลายคนเข้าใจผิด คือ

  • มองว่าการลงทุน คือ ยาสามัญประจำบ้านที่จะตอบปัญหาทางการเงินได้ทุกอย่าง แต่จริงๆแล้ว การลงทุนเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งที่ต้องใช้ในการบริหารเงิน แล้วเราจะบริหารเงินหลังเกษียณอย่างไรดี
  • มองว่าถ้ามีเงินเท่านั้น เท่านี้ ก็จะพอ (กรณีนี้ คือ 20,000 บาท/เดือน)

เราอาจเคยได้ยินกฎ 4% หรือ The 4% Rule ที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก ผลงานการวิจัยในปี ค.ศ.1994 โดยคุณ William Bengen นักวางแผนการเงินชาวอเมริกัน ที่สรุปได้ง่าย ๆ ว่า “ไม่ว่าตลาดการเงินจะประสบกับภาวะวิกฤติกี่รอบต่อกี่รอบก็ตามที แต่ พอร์ตการลงทุนที่มีการวางน้ำหนักการลงทุนที่ดีในระยะยาว จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้มากเพียงพอที่เราจะสามารถถอนเงินของเราออกมาใช้ได้ประมาณปีละ 4% โดยไม่ทำให้เงินต้นของเรานั้นหมดลง หรือถึงจะลดลงก็จะลดช้ามาก ๆ จนเราตายก่อนที่เงินจะหมด”

จริงๆหลักคิดของกฎ 4% ก็ไม่มีอะไรมาก เพราะคำนวณจากอายุขัยหลังเกษียณอยู่ที่ประมาณ 25 ปี เราถอนปีละ 4% เป็นเวลา 25 ปี ก็เท่ากับ 100% คือ เงินก้อนเราหมดพอดี โดยเงื่อนไขของแนวคิดนี้ ก็คือ

  • แหล่งรายจ่ายเราเหมือนเดิมตลอดอายุขัย ซึ่งความจริงแล้วไม่ใช่ ช่วยปลายเกษียณเราอาจมีรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลสูงกว่าช่วงต้นเกษียณ
  • ผลตอบแทนของเงิน เท่ากับ อัตราเงินเฟ้อ คือ เงินออมของเราเพิ่มขึ้นเท่ากับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่ความจริงทั้งผลตอบแทนและภาวะเงินเฟ้อมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และภาวะเงินเฟ้อของรายจ่ายบางอย่าง เช่น ค่ารักษาพยาบาลก็สูงกว่าภาวะเงินเฟ้อทั่วไป
  • อายุขัยหลังเกษียณเราอาจ มากกว่าหรือ น้อยกว่า 25 ปีก็ได้ ถ้าน้อยกว่า 25 ปี แสดงว่าเราตายก่อนเงินหมด แต่ถ้ามากกว่า 25 ปี แสดงว่า เงินหมดก่อนเราตาย เราจะอยู่ยังไง?

ตัวอย่างเช่น กรณีนี้มีเงินชดเชย 1.2 ล้านบาท ตามกฎ 4% คือ

  • ถ้าถอนใช้ปีละ 4% ของ 1.2 ล้านบาท จะได้เท่ากับ 48,000 บาท หรือ เดือนละ 4,000 บาทเท่านั้น หรือ
  • ถ้าจะถอนใช้เดือนละ 20,000 บาท ก็ควรต้องมีเงินก้อน ณ วันที่เกษียณ เท่ากับ 20,000 * 12 /4% = 6 ล้านบาท หรือ
  • ถ้าจะถอนใช้เดือนละ 20,000 บาท หรือ ปีละ 2.4 แสนบาท เพียง 5 ปีเงินก็จะหมด

แต่ความจริง เงินจะพอหรือไม่ ขึ้นอยู่กับค่าใช้จ่ายของเราว่ามากน้อยแค่ไหนต่างหาก ถ้าเรามีรายได้มากกว่ารายจ่าย เราก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้ารายจ่ายมากกว่ารายได้ ปัญหาย่อมมีแน่นอน

แนวคิดในการบริหารเงินหลังเกษียณหนึ่งที่พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างค่าใช้จ่าย กับ รายได้ ที่น่าสนใจ คือ แนวคิดเงิน 4 ก้อน (4 boxes strategy) โดยแบ่งเป็น 2 ฝั่ง คือ แหล่งรายจ่าย และ แหล่งรายได้ (ตามตาราง)

  • แหล่งรายจ่าย แบ่งเป็น แหล่งรายจ่ายที่จำเป็น และ แหล่งรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
  • แหล่งรายได้ แบ่งเป็น แหล่งรายได้ประจำ และ แหล่งรายได้จากการลงทุน

แหล่งรายจ่าย

แหล่งรายได้

แหล่งรายจ่ายที่จำเป็น เช่น

  • ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย
  • ค่าอุปโภค บริโภค
  • ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ
  • ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าสังคม ฯลฯ

แหล่งรายได้ประจำ เช่น

  • บำนาญชราภาพกองทุนประกันสังคม
  • บำนาญข้าราชากร
  • เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ
  • ประกันชีวิตแบบเงินได้ประจำ, ประกันบำนาญ
  • รายได้จากทรัพย์สินอื่นๆ เช่น ค่าเช่า ฯลฯ
  • รายได้จากการทำงาน เช่น ค่าที่ปรึกษา ฯลฯ

แหล่งรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น

  • ค่าท่องเที่ยว
  • ค่าสันทนาการ
  • ค่างานอดิเรก เป็นต้น

แหล่งรายได้จากการลงทุน

  • กองทุนรวม เช่น RMF
  • หุ้น

(หมายเหตุ หลายคนอาจสับสน ทำไม ค่าสังคมถึงเป็นแหล่งรายจ่ายที่จำเป็น เหตุผลก็เพราะรายจ่ายบางอย่างกับคนทั่วไปอาจเป็นรายจ่ายที่ไม่จำเป็น แต่กับบางคนอาจเป็นรายจ่ายที่จำเป็นก็ได้ อย่างเช่น ค่าสังคม สำหรับบางคนการพบปะเพื่อนฝูงมีความสำคัญกับความสุขทางใจมาก เช่น อาจทำให้รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า รู้สึกอบอุ่น เป็นต้น)

หลักการบริหาร คือ แหล่งรายได้ประจำ ควรจะมากกว่า แหล่งรายจ่ายที่จำเป็น เพราะ

  • แหล่งรายได้ประจำจะให้กระแสเงินสดที่แน่นอน โดยไม่ถูกกระทบจากภาวะตลาด
  • แหล่งรายได้ประจำจะมี 2 แบบ คือ
    • การันตีรายได้ให้เราตลอดอายุขัย อย่างเช่น บำนาญชราภาพกองทุนประกันสังคม บำนาญข้าราชการ (กรณีนี้เป็นข้าราชการน่าจะมีบำนาญข้าราชการ) เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ฯลฯ
    • การันตีรายได้อายุของแหล่งรายได้ เช่น ประกันบำนาญ เป็นต้น
  • แหล่งรายได้ประจำจะลดความเสี่ยงด้านการเงินกรณีมีอายุยาวเกินควร
  • การมีแหล่งรายได้ประจำที่เพียงพอ จะเพิ่มโอกาสให้ผู้ออมเงินสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการลงทุนในทรัพย์สินเพื่อเพิ่มโอกาสของผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้

กรณีรายได้จากแหล่งรายได้ประจำ น้อยกว่า แหล่งรายจ่ายที่จำเป็น

  • ให้จัดสรรทรัพย์สินให้น้อยที่สุดจากกล่องทรัพย์สิน เพื่อสร้างกระแสเงินสดที่มั่นคง โดย
    • แบ่งบางส่วนลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้รายได้ประจำ เช่น หุ้นกู้คุณภาพดีๆ หรือ ประกันแบบมีเงินได้ประจำ เป็นต้น แต่ข้อควรคำนึง ก็คือ หลักทรัพย์เหล่านี้มักจะให้รายได้ประจำที่คงที่ แต่รายจ่ายของเรามักจะเพิ่มขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ
    • แบ่งบางส่วนลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้รายได้ประจำและรายได้ประจำที่ได้เพิ่มสูงขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ เช่น กองทุนหรือหุ้นปันผล

วัตถุประสงค์ของแนวคิดบริหารเงิน 4 ก้อน ก็คือ

  • เพื่อสำรองรายได้ประจำสำหรับการใช้จ่ายในแหล่งรายจ่ายที่จำเป็น
  • เพื่อสำรองเงินสำหรับใช้จ่ายในรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
  • เพื่อสำรองสำหรับการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในอนาคต (inflation)
  • เป็นการบริหารเงินลงทุนเพื่อเป้าหมายในอนาคต เช่น สำรองสำหรับค่ารักษาพยาบาลในบั้นปลายชีวิต สำรองเป็นมรดกให้ลูกหลาน ฯลฯ

สำหรับพอร์ตการลงทุนสำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นสำหรับชีวิตวัยเกษียณ ควรเป็นการลงทุนให้ผลตอบแทนพอสมควรอย่างน้อยควรมากกว่าเงินเฟ้อ จากตารางข้างล่าง หากเงินออมของเราได้ผลตอบแทน = 0%/ปี  และเราถอนเงินออมมาใช้ปีละ 10% ในเวลาเพียง 10 ปี เงินออมเราก็จะหมด แต่หากเงินออมของเราได้ผลตอบแทน = 5%/ปี และเราถอนเงินออมมาใช้ปีละ 10% เงินออมเราก็จะหมดในเวลาเพียง 14 ปี ถ้าผลตอบแทนของเงินออมเราเพิ่มขึ้น ระยะเวลากว่าเงินเราจะหมดก็จะเพิ่มขึ้น  อย่างไรก็ตาม การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง มักจะมีความเสี่ยงสูง การกระจายความเสี่ยงจะช่วยลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนได้ดี

ผลตอบแทนของเงินออม/ลงทุน (ร้อยละต่อปี)

ที่มา : TSI (ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย)

สำหรับการกระจายประเภทหลักทรัพย์ พอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมสำหรับคนเกษียณเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนเกษียณ มีดังนี้

  • หลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้น กองทุนหุ้น ฯลฯ ประมาณ 5% - 15%
  • หลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงปานกลาง เช่น หุ้นกู้เอกชน กองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนตราสารหนี้ระยะยาว ฯลฯ ประมาณ 20% - 40%
  • หลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล กองทุนตลาดเงิน ประมาณ 40% - 80%

ที่มา : Retirement planning, Financial perspectives Pte Ltd., Singapore

อย่างไรก็ตามแนวคิดการกระจายประเภทหลักทรัพย์นี้เป็นเพียงแนวคิดกว้างๆ หากต้องการแนวคิดหรือแผนการเงินที่ตอบโจทย์จริงๆ ควรปรึกษานักวางแผนการเงิน CFP เพราะมีความรู้และประสบการณ์จริงที่เชื่อถือได้

ติดตามข่าวสารของสมาคมได้ทาง

   ประกาศความเป็นส่วนตัวการใช้งานคุ๊กกี้        ประกาศความเป็นส่วนตัว        แผนผังเว็บไซต์
สงวนลิขสิทธิ์ 2560 สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
CFP®,CERTIFIED FINANCIAL PLANNER™, and are trademarks owned outside the U.S. by Financial Planning Standards Board Ltd.
Thai Financial Planners Association is the marks licensing authority for the CFP marks in Thailand, through agreement with FPSB.

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
ชั้น 6 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
93 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง
กรุงเทพมหานคร 10400

โทรศัพท์: 0 2009 9393
Website: www.tfpa.or.th