logo
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับสมาคม
  • ประเภท/สิทธิประโยชน์ของสมาชิก
  • เอกสารดาวน์โหลด
  • แหล่งข้อมูล
  • FAQ
  • ติดต่อเรา
Previous Next
แหล่งข้อมูล
  • ประกาศสมาคม
  • ข่าวสมาคม
  • กิจกรรมสมาคม
  • เอกสารเผยแพร่
  • วิดีโอ
  • หน่วยงานพันธมิตร
บทความ: ลงทุน

ให้เงินทำงาน สร้าง Passive Income

 

วันก่อนไปงานรับปริญญาหลาน มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนๆ บางคนก็ยังคงทำงานอยู่ พบประเด็นที่น่าสนใจและแปลกใจ ก็คือ “ตอนนี้หาคนทำงานยากมาก ไม่ค่อยมีคนมาสมัครเลย ไม่รู้เด็กเรียนจบหายไปไหนหมด?” 

ทนเก็บความสงสัยไม่ไหว ก็เลยต้องหาข้อมูล พบบทความ “10 สถิติที่ HR ต้องรู้ เพื่อจ้างและดึงดูดคนเก่งให้อยู่คู่องค์กรตลอดปี 2025” จากเพจ HREX.asia คือแพลตฟอร์มข้อมูลสำหรับ HR ดังนี้

  1. 77% หรือกว่า 3 ใน 4 ขององค์กรทั่วโลกประสบปัญหาในการจ้างพนักงานประจำ
  2. 60% ของผู้เชี่ยวชาญด้าน HR พบว่า องค์กรขาดผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
  3. ในขณะที่คนทำงานยังคงโหยหาความยืดหยุ่น องค์กรกลับทำสวนทางด้วยการลดการเสนอตำแหน่งงานแบบ Hybrid Working ลงกว่า 16% ตั้งแต่ปี 2022 (งาน Hybrid Working คือ รูปแบบการทำงานที่ผสมผสานระหว่างการทำงานในสำนักงาน (Work from Office) กับการทำงานจากที่อื่น เช่น ที่บ้าน (Work from Home) หรือสถานที่ทำงานอื่นๆ เช่น Co-working space ฯลฯ)
  4. องค์กรถึง 49% เผชิญความลำบากในการรักษาและรั้งพนักงานไว้ ไม่ให้ลาออก
  5. 56% ของพนักงานระบุว่า พวกเขาลาออกเพราะ “เงินเดือนน้อย” คือเหตุผลหลัก
  6. 58% ของพนักงานจะลาออก หากไม่มีโอกาสพัฒนาในสายอาชีพ
  7. องค์กรที่มีวัฒนธรรมการเรียนรู้เข้มแข็ง จะมีอัตราการรักษาพนักงานสูงกว่าคู่แข่งถึง 57%
  8. ออฟฟิศที่มีสภาพแวดล้อมการทำงานดี จะลดการขาดงานลง 78%, ลดอุบัติเหตุ 63%, และเพิ่มกำไรได้ถึง 23%
  9. 29% ของพนักงานระบุว่า การสื่อสารที่ไม่ดีจากหัวหน้าคือหนึ่งในต้นตอของความเครียด
  10. 80% ของพนักงานรู้สึกผูกพันกับที่ทำงานมากขึ้น เมื่อมีการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง

เมื่อคนรุ่นใหม่หันหลังให้งานประจำที่มีรายได้มั่นคงไปสู่งานที่ไม่มีรายได้ประจำกันมากขึ้น ความเสี่ยงที่จะมีรายได้ไม่พอใช้จ่ายสำหรับรายจ่ายประจำ เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ ก็จะเพิ่มมากขึ้น

การบริหารเงินออมจึงยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นไปอีก เพราะต้องสามารถสร้างรายได้เพียงพอรายจ่ายที่เกิดขึ้นทุกวัน และเงินออมจะต้องเติบโตเพื่อเป้าหมายทางการเงินในอนาคต ดังเช่น กรณีของ น้อง เอ เกษตรกรยุคใหม่หัวใจการเงิน

“เงินเย็น 300,000 จะโยกไปซื้อหุ้นปันผลดี ๆ ตอนนี้…คิดถูกหรือคิดผิดครับ?”

ผมชื่อเอ ครับ ตอนนี้ว่างงาน กลับมาอยู่บ้านทำเกษตรเล็ก ๆ ปลูกผักขายตามฤดูกาล ไม่มีรายได้ประจำ แต่มีเงินเย็น 300,000 บาท แบ่งเป็น

  • 200,000 บาท ฝากอยู่ในสหกรณ์ ได้ปันผลปีละ 4%

  • 100,000 ฝากสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. มาแล้ว 1 ปี ไม่เคยถูกรางวัลเลยครับ

ผมกำลังคิดจะถอนจากสหกรณ์ราว 100,000 บาทมาลงทุนในหุ้นที่จ่ายปันผล เล็งไว้ 2 ตัวคือ:
– หุ้น AAA ปันผลประมาณ 7%/ปี
– หุ้น BBB ปันผลประมาณ 5%/ปี

อยากถามว่าผมคิดถูกหรือคิดผิดครับ?
ควรลงทุนแบบนี้ดีไหม หรือมีทางเลือกอื่นที่เหมาะกับคนไม่มีรายได้ประจำอย่างผมมากกว่านี้?

– เอ เกษตรกรยุคใหม่หัวใจการเงิน

ประเด็นของน้องเอ ที่มีความคิดจะถอนเงิน 100,000 มาลงทุนในหุ้นปันผล ผมคงไม่แนะนำว่าหุ้น AAA หรือ BBB ดีหรือไม่

แต่ขอดำเนินตามพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 (4 ธันวาคม 2541)

"เราไม่ควรให้ปลาแก่เขา แต่ควรจะให้เบ็ดตกปลา และสอนให้รู้จักวิธีตกปลาจะดีกว่า "

ผมนึกถึงคำพูดหนึ่งในโลกการลงทุน ก็คือ “การลงทุน ทุกครั้งที่เราตัดสินใจเข้าซื้อ เรามักจะเห็นโอกาสและกำไร แต่ในความเป็นจริง มีสิ่งเดียวที่เราควบคุมได้ คือ การบริหารความเสี่ยงไม่ใช่กำไรในจินตนาการ”

เพราะกรณีน้องเอ เหมือนคนส่วนใหญ่ คือ มักจะมองเห็นแต่โอกาสและกำไรซึ่งเราไม่สามารถควบคุมได้ แต่มักจะมองข้ามความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญ ซึ่งเราสามารถบริหารจัดการได้ด้วยการบริหารเงิน (Money Management) ซึ่งมีประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณา ดังนี้

  1. เพราะการลงทุนไม่ได้มีเพียงหุ้นปันผล ดังนั้น เราควรจัดลำดับความน่าสนใจของการลงทุนแต่ละอย่าง (ถ้ามีการลงทุนหลายอย่างให้เลือก) การลงทุนอย่างไหนมีความน่าสนใจในการลงทุนมากกว่าตัวอื่น ๆ
  2. ความคุ้มค่าในการลงทุนแต่ละครั้ง โดยเปรียบเทียบระหว่างผลตอบแทนที่จะได้รับกรณีถ้าผลการลงทุนเป็นไปตามที่คาดแล้วออกมาเป็นกำไรกับผลขาดทุนที่จะต้องเสียไปถ้าผลการลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาดแล้วออกมาเป็นขาดทุนว่ามีความคุ้มค่าหรือไม่ อย่างกรณีน้องเอ มองเฉพาะเงินปันผลที่คาดว่าจะได้ แต่หากเงินปันผลไม่เป็นตามที่คาด หรือ ราคาหุ้นปรับลดลง การลงทุนนี้ก็อาจไม่คุ้มค่าเลย
  3. ความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุน ซึ่งจะวิเคราะห์ว่าการลงทุนในแต่ละครั้งจะเสี่ยงขาดทุนด้วยเงินจำนวนเท่าไหร่ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบร้ายแรงกับเงินลงทุน และควรจัดสรรเงินที่จะใช้ในการลงทุนแต่ละครั้งไม่เกินเท่าไหร่เพื่อให้มีเงินลงทุนพร้อมรับโอกาสอื่น ๆ ที่จะเข้ามาในอนาคต น้องเอตั้งเป้าหมายลงทุนด้วย 100,000 บาท คือ 1 ใน 3 ของเงินออมที่ตัวเองมีอยู่ ขณะที่รายได้จากเกษตรไม่แน่นอน หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้นในการลงทุนย่อมกระทบเงินออมของน้องเอ รวมถึงความมั่นคงทางการเงินด้วย เช่น หากมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเกิดขึ้น น้องเออาจจำเป็นต้องขายหุ้นปันผลออกมาใช้จ่ายในราคาที่ต่ำกว่าทุนที่ซื้อมาได้
  4. แผนรับมือกรณีที่จะเกิดขึ้นหลังจากลงทุนไปแล้วในครั้งนั้น ๆ อย่างเช่น ถ้าเกิดผลกำไร จะมีแผนในการทำกำไรอย่างไร เช่น จะถอนกำไรมาใช้ หรือ กระจายการลงทุนไปลงทุนอย่างอื่น หรือเพิ่มเงินลงทุนในการลงทุนดิม ฯลฯ และถ้าเกิดผลขาดทุนจะมีแผนรับมือสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างไร เช่น จะหยุดการขาดทุนเมื่อขาดทุนเท่าไหร่ หรือทนถือไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังได้เงินปันผล ฯลฯ
  5. วางแผนการบริหารความเสี่ยงในการลงทุนแบบต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการกำหนดแนวทางในการบริหารความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุนครั้งถัดไป โดยการกำหนดว่าถ้าผลการลงทุนครั้งนี้ออกมาเป็นกำไร ในการลงทุนครั้งถัดไปจะทำอย่างไร หรือถ้าผลการลงทุนครั้งนี้ออกมาเป็นขาดทุน ในการลงทุนครั้งถัดไปจะทำอย่าไร เป็นต้น
  6. ทบทวนแผนการบริหารเงินลงทุน เมื่อผ่านการลงทุนไปสักระยะหนึ่งควรนำผลการลงทุนที่เกิดขึ้นมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงหรือแนวทางในการบริหารเงินลงทุนในอนาคตให้ดีขึ้น

ในกรณีที่น้องเอ อยู่ในสถานะว่างงาน ไม่มีรายได้ประจำ ความสำคัญในการบริหารเงินที่สำคัญที่สุดตอนนี้ คือ การบริหารสภาพคล่อง ให้มีรายได้เพียงพอกับรายจ่ายที่ยังคงมีอยู่ เช่น ค่าครองชีพ ฯลฯ ขณะที่รายได้จากการทำเกษตรไม่แน่นอน ส่วนทรัพย์สินสภาพคล่องที่น้องเอ มีอยู่ คือ

  • เงินเย็นในสหกรณ์ 200,000 (ปันผล 4%)
  • สลากดิจิตัล ธ.ก.ส. 100,000 (ดอกเบี้ยต่ำประมาณ 0.07%/ปี น้อยกว่าดอกเบี้ยออมทรัพย์อีก แต่มีลุ้นรางวัล)

น้องเอ ควรแบ่งเงินเป็น 4 กอง

  • กองที่ 1 เงินสำรองสภาพคล่องสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันประมาณ 2 สัปดาห์ ตัวอย่างเช่น หากมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยวันละ 500 วัน ก็คือมีเงินสำรองสภาพคล่องประมาณ 7,000 – 10,000 บาท เงินก้อนนี้ควรเก็บไว้ในบัญชีออมทรัพย์ เพราะถอนได้ง่าย ถอนตอนไหนก็ได้ ถอนเมื่อไหร่ได้เงินทันที ความเสี่ยงที่จะขาดทุนต่ำมาก ข้อเสีย คือ ดอกเบี้ยน้อยมากแค่ 0.25%/ปี น้องเอจึงไม่ควรมีเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์มากเกินไป เพราะจะทำให้เงินออมเติบโตไม่ทันค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามเงินเฟ้อ เมื่อไหร่ที่ถอนเงินในบัญชีออมทรัพย์ออกมาใช้จ่าย น้องเอก็ถอนเงินจากกองที่ 2 มาเติมในบัญชีออมทรัพย์ให้พอค่าใช้จ่าย 2 สัปดาห์ เงินกองที่ 1 ควรมาจากการถอนสลากดิจิตัล ธ.ก.ส เพราะดอกเบี้ยต่ำมาก ไม่คุ้มการลงทุน
  • กองที่ 2 เงินสำรองสภาพคล่องสำหรับค่าใช้จ่าย 6 เดือน เป็นเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉิน รายได้จากเกษตรหรือการลงทุนไม่เป็นตามเป้าหมาย เงินก้อนนี้ควรมีสภาพคล่องสูง ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากออมทรัพย์ แต่มีความเสี่ยงด้านราคาต่ำ ตอนถอนจะได้ไม่ขาดทุน เช่น ฝากสหกรณ์ หรือ ซื้อหุ้นสหกรณ์ เงินในกองที่ 2 ของน้องเอ ควรอยู่ที่ประมาณ 90,000 บาท
  • กองที่ 3 เงินลงทุนเสี่ยงต่ำ ถึงปาน กลาง เช่น กองทุนตราสารหนี้/พันธบัตรเอกชน AAA ให้ดอกเบี้ย 3 - 4.5%/ปี
  • กองที่ 4 เงินลงทุนเพื่อปันผล และการเติบโตของเงินลงทุน โดยกระจายความเสี่ยงด้วย
    • การกระจายการลงทุน เช่น ลงทุนหุ้นปันผลที่มีพื้นฐานดีและอยู่คนละอุตสาหกรรมมากกว่า 2 ตัว หรือลงทุนในกองทุนหุ้นปันผล
    • การกระจายจังหวะการลงทุน โดยทยอยลงทุน แบบ DCA แทนการลงทีเดียว

ตัวอย่าง แผนการจัดสัดส่วนเงินเย็น 300,000 บาทของน้องเอ

เงินกองที่ 3 และ 4 ซึ่งคือ เงินที่เหลือจากการจัดสรรไปในกองที่ 1 (10,000 บาท) และกองที่ 2 (90,000 บาท) รวมกันจะอยู่ประมาณ 200,000 บาท ควรมาจากการถอนสลากดิจิตัล ธ.ก.ส และหุ้นสหกรณ์ที่เหลือ ควรนำมาจัดสรรกระจายพอร์ตการลงทุน ดังนี้

  • กองที่ 3 ประมาณ 40% คือ 80,000 บาท เก็บไว้รับดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝาก กองทุนตราสารหนี้/พันธบัตรรัฐบาล อายุ 6-12 เดือน ผลตอบแทนประมาณ 3 - 4.5%/ปี คาดรายได้ปีละ 2,400 - 3,600 บาท
  • กองที่ 4 เงินลงทุนสร้างปันผล 60% คือ 120,000 บาท ลงทุนสร้างกระแสปันผลระยะยาว และการเติบโตของเงินออม คาดปันผลรวมเฉลี่ย 5 - 6%  ได้ปีละ 6,000 – 7,200 บาท (ยังไม่รวมกำไรจากราคาหุ้น)

รวมรายได้จากกองที่ 3 และ 4 อยู่ที่ประมาณ 8,400 – 10,800 บาท/ปี

ข้อดีของแผน คือ

  • ลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง
  • ปลอดภัยกว่าลงหุ้นปันผลเพียง 2 ตัว
  • ลดความเสี่ยงการขาดทุนหนักถ้าตลาดหุ้นตก
  • สร้างรายได้ปันผลและดอกเบี้ยทุกปี

ข้อควรคำนึง

  • ควรทำบัญชีรายรับ รายจ่ายประจำวัน เพื่อประโยชน์ในการบริหารสภาพคล่อง
  • หุ้นปันผลก็ยังมีความเสี่ยง ควรตรวจสอบงบการเงินและความมั่นคงของบริษัททุกปี
  • ควรติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ เพราะอัตราดอกเบี้ยและปันผลอาจเปลี่ยน
  • ควรทบทวนและปรับปรุงแผนให้เหมาะสมทุกครั้งเมื่อมีเหตุการณ์ใหญ่ๆเปลี่ยนแปลง เช่น เหตุการณ์ที่กระทบรายได้ หรือ รายจ่าย ฯลฯ หากไม่มีเหตุการณ์ใหญ่ๆ เกิดขึ้น อย่างน้อยควรทบทวนและปรับปรุงแผนให้เหมาะสมปีละ 1 ครั้ง

หมายเหตุ แผนการการจัดส่วนเงินเย็น 300,000 บาทของน้องเอ นี้เป็นเพียงแผนแนะนำอย่างคร่าวๆบนข้อมูลที่มีจำกัด ดังนั้น หากน้องเอต้องการแผนที่เฉพาะเจาะจงสามารถตอบโจทย์น้องเอได้อย่างถูกต้อง ควรติดต่อขอคำแนะนำจากนักวางแผนการเงิน CFP

ติดตามข่าวสารของสมาคมได้ทาง

   ประกาศความเป็นส่วนตัวการใช้งานคุ๊กกี้        ประกาศความเป็นส่วนตัว        แผนผังเว็บไซต์
สงวนลิขสิทธิ์ 2560 สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
CFP®,CERTIFIED FINANCIAL PLANNER™, and are trademarks owned outside the U.S. by Financial Planning Standards Board Ltd.
Thai Financial Planners Association is the marks licensing authority for the CFP marks in Thailand, through agreement with FPSB.

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
ชั้น 6 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
93 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง
กรุงเทพมหานคร 10400

โทรศัพท์: 0 2009 9393
Website: www.tfpa.or.th