บทความ: ลงทุน
ให้เงินทำงาน สร้าง Passive Income
วันก่อนไปงานรับปริญญาหลาน มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนๆ บางคนก็ยังคงทำงานอยู่ พบประเด็นที่น่าสนใจและแปลกใจ ก็คือ “ตอนนี้หาคนทำงานยากมาก ไม่ค่อยมีคนมาสมัครเลย ไม่รู้เด็กเรียนจบหายไปไหนหมด?”
ทนเก็บความสงสัยไม่ไหว ก็เลยต้องหาข้อมูล พบบทความ “10 สถิติที่ HR ต้องรู้ เพื่อจ้างและดึงดูดคนเก่งให้อยู่คู่องค์กรตลอดปี 2025” จากเพจ HREX.asia คือแพลตฟอร์มข้อมูลสำหรับ HR ดังนี้
- 77% หรือกว่า 3 ใน 4 ขององค์กรทั่วโลกประสบปัญหาในการจ้างพนักงานประจำ
- 60% ของผู้เชี่ยวชาญด้าน HR พบว่า องค์กรขาดผู้สมัครที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
- ในขณะที่คนทำงานยังคงโหยหาความยืดหยุ่น องค์กรกลับทำสวนทางด้วยการลดการเสนอตำแหน่งงานแบบ Hybrid Working ลงกว่า 16% ตั้งแต่ปี 2022 (งาน Hybrid Working คือ รูปแบบการทำงานที่ผสมผสานระหว่างการทำงานในสำนักงาน (Work from Office) กับการทำงานจากที่อื่น เช่น ที่บ้าน (Work from Home) หรือสถานที่ทำงานอื่นๆ เช่น Co-working space ฯลฯ)
- องค์กรถึง 49% เผชิญความลำบากในการรักษาและรั้งพนักงานไว้ ไม่ให้ลาออก
- 56% ของพนักงานระบุว่า พวกเขาลาออกเพราะ “เงินเดือนน้อย” คือเหตุผลหลัก
- 58% ของพนักงานจะลาออก หากไม่มีโอกาสพัฒนาในสายอาชีพ
- องค์กรที่มีวัฒนธรรมการเรียนรู้เข้มแข็ง จะมีอัตราการรักษาพนักงานสูงกว่าคู่แข่งถึง 57%
- ออฟฟิศที่มีสภาพแวดล้อมการทำงานดี จะลดการขาดงานลง 78%, ลดอุบัติเหตุ 63%, และเพิ่มกำไรได้ถึง 23%
- 29% ของพนักงานระบุว่า การสื่อสารที่ไม่ดีจากหัวหน้าคือหนึ่งในต้นตอของความเครียด
- 80% ของพนักงานรู้สึกผูกพันกับที่ทำงานมากขึ้น เมื่อมีการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง
เมื่อคนรุ่นใหม่หันหลังให้งานประจำที่มีรายได้มั่นคงไปสู่งานที่ไม่มีรายได้ประจำกันมากขึ้น ความเสี่ยงที่จะมีรายได้ไม่พอใช้จ่ายสำหรับรายจ่ายประจำ เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าน้ำ ค่าไฟ ฯลฯ ก็จะเพิ่มมากขึ้น
การบริหารเงินออมจึงยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นไปอีก เพราะต้องสามารถสร้างรายได้เพียงพอรายจ่ายที่เกิดขึ้นทุกวัน และเงินออมจะต้องเติบโตเพื่อเป้าหมายทางการเงินในอนาคต ดังเช่น กรณีของ น้อง เอ เกษตรกรยุคใหม่หัวใจการเงิน
“เงินเย็น 300,000 จะโยกไปซื้อหุ้นปันผลดี ๆ ตอนนี้…คิดถูกหรือคิดผิดครับ?”
ผมชื่อเอ ครับ ตอนนี้ว่างงาน กลับมาอยู่บ้านทำเกษตรเล็ก ๆ ปลูกผักขายตามฤดูกาล ไม่มีรายได้ประจำ แต่มีเงินเย็น 300,000 บาท แบ่งเป็น
200,000 บาท ฝากอยู่ในสหกรณ์ ได้ปันผลปีละ 4%
100,000 ฝากสลากดิจิทัล ธ.ก.ส. มาแล้ว 1 ปี ไม่เคยถูกรางวัลเลยครับ
ผมกำลังคิดจะถอนจากสหกรณ์ราว 100,000 บาทมาลงทุนในหุ้นที่จ่ายปันผล เล็งไว้ 2 ตัวคือ:
– หุ้น AAA ปันผลประมาณ 7%/ปี
– หุ้น BBB ปันผลประมาณ 5%/ปีอยากถามว่าผมคิดถูกหรือคิดผิดครับ?
ควรลงทุนแบบนี้ดีไหม หรือมีทางเลือกอื่นที่เหมาะกับคนไม่มีรายได้ประจำอย่างผมมากกว่านี้?– เอ เกษตรกรยุคใหม่หัวใจการเงิน
ประเด็นของน้องเอ ที่มีความคิดจะถอนเงิน 100,000 มาลงทุนในหุ้นปันผล ผมคงไม่แนะนำว่าหุ้น AAA หรือ BBB ดีหรือไม่
แต่ขอดำเนินตามพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 (4 ธันวาคม 2541)
"เราไม่ควรให้ปลาแก่เขา แต่ควรจะให้เบ็ดตกปลา และสอนให้รู้จักวิธีตกปลาจะดีกว่า "
ผมนึกถึงคำพูดหนึ่งในโลกการลงทุน ก็คือ “การลงทุน ทุกครั้งที่เราตัดสินใจเข้าซื้อ เรามักจะเห็นโอกาสและกำไร แต่ในความเป็นจริง มีสิ่งเดียวที่เราควบคุมได้ คือ การบริหารความเสี่ยงไม่ใช่กำไรในจินตนาการ”
เพราะกรณีน้องเอ เหมือนคนส่วนใหญ่ คือ มักจะมองเห็นแต่โอกาสและกำไรซึ่งเราไม่สามารถควบคุมได้ แต่มักจะมองข้ามความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญ ซึ่งเราสามารถบริหารจัดการได้ด้วยการบริหารเงิน (Money Management) ซึ่งมีประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณา ดังนี้
- เพราะการลงทุนไม่ได้มีเพียงหุ้นปันผล ดังนั้น เราควรจัดลำดับความน่าสนใจของการลงทุนแต่ละอย่าง (ถ้ามีการลงทุนหลายอย่างให้เลือก) การลงทุนอย่างไหนมีความน่าสนใจในการลงทุนมากกว่าตัวอื่น ๆ
- ความคุ้มค่าในการลงทุนแต่ละครั้ง โดยเปรียบเทียบระหว่างผลตอบแทนที่จะได้รับกรณีถ้าผลการลงทุนเป็นไปตามที่คาดแล้วออกมาเป็นกำไรกับผลขาดทุนที่จะต้องเสียไปถ้าผลการลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาดแล้วออกมาเป็นขาดทุนว่ามีความคุ้มค่าหรือไม่ อย่างกรณีน้องเอ มองเฉพาะเงินปันผลที่คาดว่าจะได้ แต่หากเงินปันผลไม่เป็นตามที่คาด หรือ ราคาหุ้นปรับลดลง การลงทุนนี้ก็อาจไม่คุ้มค่าเลย
- ความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุน ซึ่งจะวิเคราะห์ว่าการลงทุนในแต่ละครั้งจะเสี่ยงขาดทุนด้วยเงินจำนวนเท่าไหร่ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบร้ายแรงกับเงินลงทุน และควรจัดสรรเงินที่จะใช้ในการลงทุนแต่ละครั้งไม่เกินเท่าไหร่เพื่อให้มีเงินลงทุนพร้อมรับโอกาสอื่น ๆ ที่จะเข้ามาในอนาคต น้องเอตั้งเป้าหมายลงทุนด้วย 100,000 บาท คือ 1 ใน 3 ของเงินออมที่ตัวเองมีอยู่ ขณะที่รายได้จากเกษตรไม่แน่นอน หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้นในการลงทุนย่อมกระทบเงินออมของน้องเอ รวมถึงความมั่นคงทางการเงินด้วย เช่น หากมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเกิดขึ้น น้องเออาจจำเป็นต้องขายหุ้นปันผลออกมาใช้จ่ายในราคาที่ต่ำกว่าทุนที่ซื้อมาได้
- แผนรับมือกรณีที่จะเกิดขึ้นหลังจากลงทุนไปแล้วในครั้งนั้น ๆ อย่างเช่น ถ้าเกิดผลกำไร จะมีแผนในการทำกำไรอย่างไร เช่น จะถอนกำไรมาใช้ หรือ กระจายการลงทุนไปลงทุนอย่างอื่น หรือเพิ่มเงินลงทุนในการลงทุนดิม ฯลฯ และถ้าเกิดผลขาดทุนจะมีแผนรับมือสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างไร เช่น จะหยุดการขาดทุนเมื่อขาดทุนเท่าไหร่ หรือทนถือไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังได้เงินปันผล ฯลฯ
- วางแผนการบริหารความเสี่ยงในการลงทุนแบบต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการกำหนดแนวทางในการบริหารความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุนครั้งถัดไป โดยการกำหนดว่าถ้าผลการลงทุนครั้งนี้ออกมาเป็นกำไร ในการลงทุนครั้งถัดไปจะทำอย่างไร หรือถ้าผลการลงทุนครั้งนี้ออกมาเป็นขาดทุน ในการลงทุนครั้งถัดไปจะทำอย่าไร เป็นต้น
- ทบทวนแผนการบริหารเงินลงทุน เมื่อผ่านการลงทุนไปสักระยะหนึ่งควรนำผลการลงทุนที่เกิดขึ้นมาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงหรือแนวทางในการบริหารเงินลงทุนในอนาคตให้ดีขึ้น
ในกรณีที่น้องเอ อยู่ในสถานะว่างงาน ไม่มีรายได้ประจำ ความสำคัญในการบริหารเงินที่สำคัญที่สุดตอนนี้ คือ การบริหารสภาพคล่อง ให้มีรายได้เพียงพอกับรายจ่ายที่ยังคงมีอยู่ เช่น ค่าครองชีพ ฯลฯ ขณะที่รายได้จากการทำเกษตรไม่แน่นอน ส่วนทรัพย์สินสภาพคล่องที่น้องเอ มีอยู่ คือ
- เงินเย็นในสหกรณ์ 200,000 (ปันผล 4%)
- สลากดิจิตัล ธ.ก.ส. 100,000 (ดอกเบี้ยต่ำประมาณ 0.07%/ปี น้อยกว่าดอกเบี้ยออมทรัพย์อีก แต่มีลุ้นรางวัล)
น้องเอ ควรแบ่งเงินเป็น 4 กอง
- กองที่ 1 เงินสำรองสภาพคล่องสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันประมาณ 2 สัปดาห์ ตัวอย่างเช่น หากมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยวันละ 500 วัน ก็คือมีเงินสำรองสภาพคล่องประมาณ 7,000 – 10,000 บาท เงินก้อนนี้ควรเก็บไว้ในบัญชีออมทรัพย์ เพราะถอนได้ง่าย ถอนตอนไหนก็ได้ ถอนเมื่อไหร่ได้เงินทันที ความเสี่ยงที่จะขาดทุนต่ำมาก ข้อเสีย คือ ดอกเบี้ยน้อยมากแค่ 0.25%/ปี น้องเอจึงไม่ควรมีเงินไว้ในบัญชีออมทรัพย์มากเกินไป เพราะจะทำให้เงินออมเติบโตไม่ทันค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามเงินเฟ้อ เมื่อไหร่ที่ถอนเงินในบัญชีออมทรัพย์ออกมาใช้จ่าย น้องเอก็ถอนเงินจากกองที่ 2 มาเติมในบัญชีออมทรัพย์ให้พอค่าใช้จ่าย 2 สัปดาห์ เงินกองที่ 1 ควรมาจากการถอนสลากดิจิตัล ธ.ก.ส เพราะดอกเบี้ยต่ำมาก ไม่คุ้มการลงทุน
- กองที่ 2 เงินสำรองสภาพคล่องสำหรับค่าใช้จ่าย 6 เดือน เป็นเงินสำรองเผื่อกรณีฉุกเฉิน รายได้จากเกษตรหรือการลงทุนไม่เป็นตามเป้าหมาย เงินก้อนนี้ควรมีสภาพคล่องสูง ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากออมทรัพย์ แต่มีความเสี่ยงด้านราคาต่ำ ตอนถอนจะได้ไม่ขาดทุน เช่น ฝากสหกรณ์ หรือ ซื้อหุ้นสหกรณ์ เงินในกองที่ 2 ของน้องเอ ควรอยู่ที่ประมาณ 90,000 บาท
- กองที่ 3 เงินลงทุนเสี่ยงต่ำ ถึงปาน กลาง เช่น กองทุนตราสารหนี้/พันธบัตรเอกชน AAA ให้ดอกเบี้ย 3 - 4.5%/ปี
- กองที่ 4 เงินลงทุนเพื่อปันผล และการเติบโตของเงินลงทุน โดยกระจายความเสี่ยงด้วย
- การกระจายการลงทุน เช่น ลงทุนหุ้นปันผลที่มีพื้นฐานดีและอยู่คนละอุตสาหกรรมมากกว่า 2 ตัว หรือลงทุนในกองทุนหุ้นปันผล
- การกระจายจังหวะการลงทุน โดยทยอยลงทุน แบบ DCA แทนการลงทีเดียว
ตัวอย่าง แผนการจัดสัดส่วนเงินเย็น 300,000 บาทของน้องเอ
เงินกองที่ 3 และ 4 ซึ่งคือ เงินที่เหลือจากการจัดสรรไปในกองที่ 1 (10,000 บาท) และกองที่ 2 (90,000 บาท) รวมกันจะอยู่ประมาณ 200,000 บาท ควรมาจากการถอนสลากดิจิตัล ธ.ก.ส และหุ้นสหกรณ์ที่เหลือ ควรนำมาจัดสรรกระจายพอร์ตการลงทุน ดังนี้
- กองที่ 3 ประมาณ 40% คือ 80,000 บาท เก็บไว้รับดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝาก กองทุนตราสารหนี้/พันธบัตรรัฐบาล อายุ 6-12 เดือน ผลตอบแทนประมาณ 3 - 4.5%/ปี คาดรายได้ปีละ 2,400 - 3,600 บาท
- กองที่ 4 เงินลงทุนสร้างปันผล 60% คือ 120,000 บาท ลงทุนสร้างกระแสปันผลระยะยาว และการเติบโตของเงินออม คาดปันผลรวมเฉลี่ย 5 - 6% ได้ปีละ 6,000 – 7,200 บาท (ยังไม่รวมกำไรจากราคาหุ้น)
รวมรายได้จากกองที่ 3 และ 4 อยู่ที่ประมาณ 8,400 – 10,800 บาท/ปี
ข้อดีของแผน คือ
- ลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง
- ปลอดภัยกว่าลงหุ้นปันผลเพียง 2 ตัว
- ลดความเสี่ยงการขาดทุนหนักถ้าตลาดหุ้นตก
- สร้างรายได้ปันผลและดอกเบี้ยทุกปี
ข้อควรคำนึง
- ควรทำบัญชีรายรับ รายจ่ายประจำวัน เพื่อประโยชน์ในการบริหารสภาพคล่อง
- หุ้นปันผลก็ยังมีความเสี่ยง ควรตรวจสอบงบการเงินและความมั่นคงของบริษัททุกปี
- ควรติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจ เพราะอัตราดอกเบี้ยและปันผลอาจเปลี่ยน
- ควรทบทวนและปรับปรุงแผนให้เหมาะสมทุกครั้งเมื่อมีเหตุการณ์ใหญ่ๆเปลี่ยนแปลง เช่น เหตุการณ์ที่กระทบรายได้ หรือ รายจ่าย ฯลฯ หากไม่มีเหตุการณ์ใหญ่ๆ เกิดขึ้น อย่างน้อยควรทบทวนและปรับปรุงแผนให้เหมาะสมปีละ 1 ครั้ง
หมายเหตุ แผนการการจัดส่วนเงินเย็น 300,000 บาทของน้องเอ นี้เป็นเพียงแผนแนะนำอย่างคร่าวๆบนข้อมูลที่มีจำกัด ดังนั้น หากน้องเอต้องการแผนที่เฉพาะเจาะจงสามารถตอบโจทย์น้องเอได้อย่างถูกต้อง ควรติดต่อขอคำแนะนำจากนักวางแผนการเงิน CFP