logo
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับสมาคม
  • ประเภท/สิทธิประโยชน์ของสมาชิก
  • เอกสารดาวน์โหลด
  • แหล่งข้อมูล
  • FAQ
  • ติดต่อเรา
Previous Next
แหล่งข้อมูล
  • ประกาศสมาคม
  • ข่าวสมาคม
  • กิจกรรมสมาคม
  • เอกสารเผยแพร่
  • วิดีโอ
  • หน่วยงานพันธมิตร
บทความ: ลงทุน

คำถามของนักลงทุนหน้าใหม่ - คิดกำไรขาดทุนอย่างไร

โดย มนวิภา อาวิพันธุ์ นักวางแผนการเงิน CFP®

 

จากการที่ผู้เขียนได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลบัญชีหรือมาร์เก็ตติ้ง พบว่าหนึ่งในคำถามที่นักลงทุนที่เพิ่งเริ่มเข้ามาในตลาดมักจะสงสัย คือ เล่นหุ้นแล้วได้กำไรเท่าไหร่ คิดกำไรอย่างไร ผู้เขียนจะขออธิบายโดยใช้ตัวอย่าง และเพื่อความเข้าใจเราจะสมมุติว่าราคาที่ซื้อขายเป็นราคาที่หักลบค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมแล้วนะคะ

 

ถ้าถามว่าซื้อหุ้นในราคา 80 บาท แล้วขายในราคา 100 บาท จะได้กำไรกี่เปอร์เซ็นต์ แน่ละได้กำไร 20 บาท แต่เท่ากับกี่เปอร์เซ็นต์ล่ะ ในส่วนนี้มีวิธีคิดสองวิธี คือ คิดกำไรจากการลงทุน และคิดกำไรจากการขาย

  • วิธีคิดกำไรจากการลงทุน คือ เปอร์เซ็นต์กำไรจะเท่ากับกำไรที่ได้รับหารด้วยเงินที่ได้ลงทุนไป
    การคิดวิธีนี้จะได้กำไรเท่ากับ 20/80 หรือ 25%
  • วิธีคิดกำไรจากการขาย คือ เปอร์เซ็นต์กำไรจะเท่ากับกำไรที่ได้รับหารด้วยเงินที่ได้จากการขาย
    การคิดวิธีนี้จะได้กำไรเท่ากับ 20/100 หรือ 20%

ในฐานะที่เป็นนักลงทุน เราจะใช้วิธีแรกคือได้กำไรจากการลงทุน 25%

 

ถ้าจำนวนหุ้นที่ซื้อกับจำนวนหุ้นที่ขายเท่ากัน นักลงทุนสามารถนำเงินที่ได้จากการขายลบเงินที่จ่ายไปตอนซื้อหุ้น ได้กำไรเป็นบาทแล้วนำไปหาเป็นเปอร์เซ็นต์ได้เลย แต่ถ้าจำนวนหุ้นที่มีกับจำนวนหุ้นที่ขายไม่เท่ากัน มีการทยอยซื้อ มีการแบ่งขาย การคิดกำไรขาดทุนจะมีขั้นตอนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

 

โดยทั่วไปเมื่อมีการซื้อหุ้น ระบบของตลาดหลักทรัพย์จะแสดงราคาต้นทุนที่เป็นต้นทุนเฉลี่ย โดยคิดว่าต้นทุนเฉลี่ยของหุ้นตัวใดตัวหนึ่งจะเท่ากับเงินที่จ่ายไปในการซื้อหุ้นตัวนั้นหารด้วยจำนวนหุ้นที่ซื้อมาได้ แต่เมื่อเราขายหุ้นออกไป ระบบจะทำการคิดกำไรโดยคิดว่าหุ้นที่ซื้อมาก่อนจะต้องถูกขายออกไปก่อน เราเรียกการคิดวิธีนี้ว่า คิดแบบซื้อก่อนขายก่อน หรือ First in first out ในส่วนนี้จะขออธิบายโดยใช้ตัวอย่าง การซื้อขายหุ้น XYZ ทั้งหมด 6 ครั้ง

  • ครั้งที่ 1 ซื้อ 100 หุ้น ราคาหุ้นละ 80 บาท จ่ายเงิน 8,000 บาท
  • ครั้งที่ 2 ซื้อ 100 หุ้น ราคาหุ้นละ 90 บาท จ่ายเงิน 9,000 บาท
  • ครั้งที่ 3 ซื้อ 200 หุ้น ราคาหุ้นละ 100 บาท จ่ายเงิน 20,000 บาท
  • ครั้งที่ 4 ขาย 300 หุ้น ราคาหุ้นละ 92 บาท รับเงิน 27,600 บาท
  • ครั้งที่ 5 ซื้อ 400 หุ้น ราคาหุ้นละ 85 บาท จ่ายเงิน 34,000 บาท
  • ครั้งที่ 6 ขาย 500 หุ้น ราคาหุ้นละ 90 บาท รับเงิน 45,000 บาท

การซื้อหุ้นครั้งแรก 100 หุ้น ราคาหุ้นละ 80 บาท จ่ายเงินไป 8,000 บาท เมื่อซื้อครั้งที่ 2 อีก 100 หุ้น ราคาหุ้นละ 90 บาท มีหุ้นรวมกัน 200 หุ้น จ่ายเงินเพิ่มอีก 9,000 บาท รวมกับเงินที่จ่ายเดิม 8,000 บาทเป็น 17,000 บาท คิดเป็นต้นทุนเฉลี่ยหุ้นละ 85 บาท

 

ซื้อครั้งที่ 1 ซื้อครั้งที่ 2   ต้นทุนเฉลี่ย
8,000 บาท 9,000 บาท   17,000 บาท
100 หุ้น 100 หุ้น   200 หุ้น
80 บาท 90 บาท   85 บาท

 

ซื้อครั้งที่ 3 ซื้อเพิ่มอีก 200 หุ้นที่ราคา 100 บาท รวมกับของเดิมเป็น 400 หุ้น จ่ายเงินเพิ่มอีก 20,000 บาท ต้นทุนรวม 17,000 + 20000 = 37,000 บาท ต้นทุนเฉลี่ยเท่ากับ 92.50 บาทต่อหุ้น

 

ซื้อครั้งที่ 1 ซื้อครั้งที่ 2 ซื้อครั้งที่ 3 ต้นทุนเฉลี่ย
8,000 บาท 9,000 บาท 20,000 บาท 37,000 บาท
100 หุ้น 100 หุ้น 200 หุ้น 400 หุ้น
80 บาท 90 บาท 100 บาท 92.5 บาท

 

ตรงนี้จะสังเกตได้ว่า ถ้าราคาหุ้นที่ซื้อเข้ามาใหม่สูงกว่าต้นทุนเฉลี่ยเดิม ต้นทุนเฉลี่ยใหม่ก็จะสูงขึ้น แต่ถ้าราคาหุ้นที่ซื้อเข้ามาใหม่ต่ำกว่า ต้นทุนเฉลี่ยใหม่จะต่ำลงเช่นกัน

 

ในวันที่ราคาหุ้น XYZ ซื้อขายกันที่ 92 บาท ระบบจะแสดงว่าขาดทุน 200 บาท หรือ ขาดทุน 0.54% นั่นคือระบบจะคิดว่าถ้าขายหุ้นทั้งหมด 400 หุ้นที่มีในราคาหุ้นละ 92 บาท จะได้เงิน 36,800 บาท ซึ่งจะทำให้ขาดทุน 36,800 - 37,000 = -200 บาท ตัวเลขนี้เป็นเพียงตัวเลขที่จะทำให้ทราบสถานะของหุ้นในพอร์ตเท่านั้น ถ้ายังไม่มีการขายหุ้นออกไป ก็จะยังไม่มีผลกำไร/ขาดทุนแต่อย่างใด หรือที่เรียกว่ากำไร/ขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง

 

ถ้าขายหุ้นไป จำนวน 300 หุ้น ที่ราคา 92.00 บาท ได้เงินรวม 27,600 บาท จะกำไรหรือขาดทุน

 

พอถึงตรงนี้ ระบบจะคำนวณกำไรโดยคิดว่าขายหุ้น 300 หุ้นแรกที่ซื้อมาก่อนออกไปก่อน นั่นคือหุ้นที่ซื้อครั้งที่ 1 เท่ากับ 100 หุ้น หุ้นที่ซื้อครั้งที่ 2 เท่ากับ 100 หุ้น และอีก 100 หุ้น ของหุ้นที่ซื้อครั้งที่ 3 คิดเป็นต้นทุนที่ซื้อมา 8,000 , 9,000 และ 10,000 บาท ตามลำดับ รวมเป็น 27,000 บาท

 

การขายหุ้นในครั้งนี้จะได้กำไร เท่ากับ 27,600 - 27,000 เท่ากับ 600 บาท คิดเป็นกำไร 600/27,000 เท่ากับ 2.22%

 

เดิมมี 400 หุ้น เมื่อขาย 300 หุ้นไปแล้ว จะเหลือ 100 หุ้น ซึ่งเป็นหุ้นจากการซื้อครั้งที่ 3 ต้นทุนเท่ากับ 10,000 บาท หรือเฉลี่ยหุ้นละ 100 บาท ในวันที่หุ้น XYZ ซื้อขายกันที่หุ้นละ 92 บาท ระบบจะแสดงว่าขาดทุน = 9,200 - 10,000 = -800 บาท หรือ -8%

 

ต่อมาถ้าราคาหุ้นในตลาดปรับตัวลดลงเหลือ 85 บาท และนักลงทุนซื้อเข้ามาใหม่ 400 หุ้น โดยจ่ายเงินเพิ่ม 34,000 บาท จำนวนหุ้นในพอร์ตจะเพิ่มขึ้นเป็น 500 หุ้น ต้นทุนรวม 10,000 + 34,000 = 44,000 บาท ต้นทุนเฉลี่ยจะลดลงเหลือ 88 บาท ตรงนี้เองที่นักลงทุนบางท่านเรียกว่าซื้อถัว หรือซื้อเฉลี่ยให้ราคาเฉลี่ยต้นทุนที่ลดลง

 

ซื้อครั้งที่ 3 ซื้อครั้งที่ 4   ต้นทุนเฉลี่ย
10,000 บาท 34,000 บาท   44,000 บาท
100 หุ้น 400 หุ้น   500 หุ้น
100 บาท 85 บาท   88 บาท

 

ถ้าขายหุ้นที่เหลือ 500 หุ้นนี้ ในราคา 90 บาท จะทำให้ได้กำไร 45,000 – 44,000 = 1,000 บาท หรือคิดเป็นกำไร 2.27% และไม่มีหุ้นเหลืออยู่ในพอร์ตเลย

 

ที่อธิบายมาทั้งหมดเป็นหลักการคิดกำไรขาดทุนสำหรับหุ้นเพียงตัวเดียว ถ้านักลงทุนมีหุ้นในพอร์ตหลายตัวให้แยกคิดทีละตัวโดยใช้วิธีคิดเดียวกันนี้ ทั้งนี้ ตัวเลขจริงอาจจะดูยากกว่าตัวอย่างเล็กน้อย เพราะนอกจากราคาหุ้นแล้วยังมีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มเข้ามาทำให้เป็นตัวเลขที่ไม่เป็นจำนวนเต็ม แต่ทั้งนี้นักลงทุนมือใหม่ทั้งหลายไม่ต้องกังวล เราเข้าใจหลักการคิดไว้เพื่อเป็นแนวทางเบื้องต้น ส่วนการคำนวณต้นทุนระบบจะคำนวณและรายงานให้นักลงทุนเอง

ติดตามข่าวสารของสมาคมได้ทาง

   ประกาศความเป็นส่วนตัวการใช้งานคุ๊กกี้        ประกาศความเป็นส่วนตัว        แผนผังเว็บไซต์
สงวนลิขสิทธิ์ 2560 สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
CFP®,CERTIFIED FINANCIAL PLANNER™, and are trademarks owned outside the U.S. by Financial Planning Standards Board Ltd.
Thai Financial Planners Association is the marks licensing authority for the CFP marks in Thailand, through agreement with FPSB.

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
ชั้น 6 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
93 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง
กรุงเทพมหานคร 10400

โทรศัพท์: 0 2009 9393
Website: www.tfpa.or.th