logo
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับสมาคม
  • ประเภท/สิทธิประโยชน์ของสมาชิก
  • เอกสารดาวน์โหลด
  • แหล่งข้อมูล
  • FAQ
  • ติดต่อเรา
Previous Next
แหล่งข้อมูล
  • ประกาศสมาคม
  • ข่าวสมาคม
  • กิจกรรมสมาคม
  • เอกสารเผยแพร่
  • วิดีโอ
  • หน่วยงานพันธมิตร
บทความ: ภาษีและมรดก

ภาษีที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนกองทุนรวม

โดย กัลยวีร์ โรจน์สุขพัฒนา นักวางแผนการเงิน CFP®

การลงทุนในกองทุนรวม ได้รับความนิยมจากนักลงทุนมาเป็นเวลานานและยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นการลงทุนที่เข้าถึงได้ง่าย ใช้เงินเริ่มต้นไม่มาก มีหลากหลายสินทรัพย์ให้เลือกลงทุน เหมาะกับผู้ที่ต้องการออมหรือลงทุนระยะยาวเพื่อความมั่นคงในอนาคต รวมทั้งผู้ที่ต้องการวางแผนภาษีในแต่ละปี ดังนั้น หากต้องการออมและได้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีด้วย ก็ต้องลงทุนกองทุนรวม SSF และ RMF แต่รู้หรือไม่ว่าการลงทุนในกองทุนรวม ตัวกองทุนและผู้ถือหน่วยลงทุนต่างก็มีภาระทางด้านภาษีเช่นเดียวกัน

1. ภาษีของกองทุนรวม
อ้างอิงจากการแก้ไขประมวลรัษฎากรตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 52) พ.ศ. 2562 กองทุนรวมที่เป็นนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นการจัดเก็บภาษีจากฐานรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย โดยเก็บภาษีเฉพาะรายได้ที่เป็นเงินได้ตามมาตรา 40(4)(ก) แห่งประมวลรัษฎากร นั่นคือ ดอกเบี้ย (Interest) และส่วนลด (Discount) ในอัตรา 15% ซึ่งผู้จ่ายเงินได้มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และกองทุนรวมไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวมารวมเพื่อคำนวณเป็นรายได้อีก กรณีกองทุนรวมมีรายได้ที่เป็นเงินได้ประเภทอื่น นอกจากเงินได้ตามมาตรา 40(4)(ก) ไม่ต้องนำไปรวมเพื่อคำนวณภาษี นั่นคือ กองทุนรวมที่ลงทุนในตราสารหนี้ รายได้จากดอกเบี้ยและส่วนลดที่กองทุนได้รับ ต้องเสียภาษีในอัตรา 15%  แต่หากกองทุนรวมนั้นมีการลงทุนในตราสารหนี้ไทยหรือตราสารหนี้ต่างประเทศ ก่อนวันที่ 20 สิงหาคม 2562 ดอกเบี้ยและส่วนลดจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี

อย่างไรก็ตาม มีการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่กองทุนรวมบางประเภท คือ กองทุนรวม RMF กองทุนรวมที่ตั้งขึ้นเพื่อขายหน่วยลงทุนแก่สำนักงานประกันสังคม กองทุนการออมแห่งชาติ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือกล่าวได้ว่านักลงทุนที่ออมเงินในกองทุนกลุ่มเพื่อการเกษียณจะไม่ได้รับผลกระทบเรื่องภาษี เพราะผลตอบแทนจากกองทุนเหล่านี้ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล

2. ภาษีของผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนรวม
สำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ อาจได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล (Dividend) หากกองทุนรวมนั้นมีนโยบายจ่ายเงินปันผลหรือกำไรส่วนเกินทุน (Capital Gain) เมื่อขายหน่วยลงทุน

หมายเหตุ : ส่วนของกำไรส่วนเกินทุน (Capital Gain) และเงินปันผล หากเป็นกองทุนรวมตราสารหนี้จะได้รับการยกเว้นภาษี ในขณะที่กองทุนรวมอื่น ๆ (กองทุนรวมตราสารทุน กองทุนรวมผสม กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์) เงินปันผลที่ได้จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10% และเลือกเป็นภาษีสุดท้าย (Final Tax) ได้ ส่วนกำไรส่วนเกินทุนได้รับการยกเว้นภาษี  

สำหรับข้อแตกต่างสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน คือ เงินปันผลจะได้รับการยกเว้นภาษีเป็นเวลา 10 ปีนับตั้งแต่วันจดทะเบียนจัดตั้งกองทุน ตามที่ได้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 544 พ.ศ. 2555 ในราชกิจจานุเบกษา บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2555 และหลังจากนั้น จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10%

ข้อควรระวังเกี่ยวกับเงินปันผล
โดยทั่วไปแล้วรายได้ในรูปของเงินปันผลอาจมาจากกองทุนรวมหุ้นหรือหุ้น โดยเงินปันผลจากกองทุนรวมและเงินปันผลจากหุ้น เป็นเงินได้ประเภทเดียวกัน คือ เงินได้ประเภทที่ 4 ซึ่งนักลงทุนสามารถเลือกให้การถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายอัตรา 10% เป็นภาษีสุดท้าย (Final Tax) แล้วไม่ต้องนำมายื่นภาษีรวมกับรายได้ประเภทอื่นอีก เพราะเงินปันผลจากหุ้นจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายอยู่แล้ว

ส่วนเงินปันผลของกองทุนรวม นักลงทุนสามารถเลือกได้ตอนเปิดบัญชีกองทุนว่าจะให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่ หากต้องการนำเงินปันผลมารวมคำนวณเพื่อยื่นภาษี มีข้อควรระวัง คือ หากนำเงินปันผลจากกองทุนรวมไปยื่นภาษีแล้ว ต้องนำเงินปันผลจากกองทุนรวมทุกกองและเงินปันผลจากหุ้น ไปยื่นภาษีทั้งหมด จะเลือกยื่นเฉพาะเงินปันผลจากกองทุนรวมหรือเฉพาะเงินปันผลจากหุ้นไม่ได้

แม้ว่าเงินปันผลจะเป็นเงินได้ที่ไม่สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ แต่กรณีเงินปันผลจากหุ้น ที่ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 10% นักลงทุนสามารถใช้ “เครดิตภาษีเงินปันผล” หรือการขอคืนภาษีจากการลงทุนในหุ้นได้ตามมาตรา 47 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร เพราะหุ้นปันผลถูกมองว่าเป็นการเก็บภาษีที่ซ้ำซ้อน เนื่องจากบริษัทต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลอยู่แล้วก่อนจะนำมาจ่ายเป็นเงินปันผลให้แก่นักลงทุน บริษัทแต่ละบริษัทจะเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราที่ไม่เท่ากัน นักลงทุนแต่ละคนก็มีรายได้อยู่ในฐานภาษีที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น ก่อนตัดสินใจว่าจะนำมายื่นภาษีหรือไม่ ควรคำนวณภาษีจากทั้งสองกรณีเพื่อดูว่าวิธีใดที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี (เสียภาษี) ดีที่สุด

หมายเหตุ : บทความนี้เพื่อใช้สำหรับศึกษาเบื้องต้นเท่านั้น มิได้มีเจตนาในการชี้นำการลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจลงทุน
ที่มา: www.setinvestnow.com, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

 

ติดตามความรู้และข่าวสารสมาคมนักวางแผนการเงินไทย ได้ที่ LINE@cfpthailand, สมาคมนักวางแผนการเงินไทย Facebook Fanpage และ www.tfpa.or.th

ติดตามข่าวสารของสมาคมได้ทาง

   ประกาศความเป็นส่วนตัวการใช้งานคุ๊กกี้        ประกาศความเป็นส่วนตัว        แผนผังเว็บไซต์
สงวนลิขสิทธิ์ 2560 สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
CFP®,CERTIFIED FINANCIAL PLANNER™, and are trademarks owned outside the U.S. by Financial Planning Standards Board Ltd.
Thai Financial Planners Association is the marks licensing authority for the CFP marks in Thailand, through agreement with FPSB.

สมาคมนักวางแผนการเงินไทย
ชั้น 6 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
93 ถนนรัชดาภิเษก แขวงดินแดง เขตดินแดง
กรุงเทพมหานคร 10400

โทรศัพท์: 0 2009 9393
Website: www.tfpa.or.th